ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ราคาทองคำในประเทศไทยมีความผันผวนอย่างต่อเนื่อง และหลายคนเริ่มตั้งคำถามว่า “ราคาทองคำจะพุ่งถึง 70,000 บาทไหม?” โดยเฉพาะเมื่อทองคำถูกมองว่าเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่ปลอดภัยที่สุดในภาวะเศรษฐกิจไม่แน่นอน
บทความนี้จะช่วยวิเคราะห์แนวโน้มราคาทองคำในปี 2025–2026 ทั้งในแง่เศรษฐกิจโลก ค่าเงิน และปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาทอง พร้อมแนะนำวิธีเตรียมตัวสำหรับผู้ที่สนใจลงทุนหรือสะสมทองคำในระยะยาว
ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อราคาทองคำ
ราคาทองคำไม่ได้ขึ้นหรือลงโดยบังเอิญ แต่สะท้อน “ความไม่แน่นอน” ของเศรษฐกิจโลก เรามาดูปัจจัยสำคัญที่ทำให้ราคาทองอาจขยับใกล้ระดับ 70,000 บาทต่อบาททองคำ ได้ในอนาคต
1. ภาวะเงินเฟ้อและนโยบายดอกเบี้ยของสหรัฐฯ
เมื่ออัตราเงินเฟ้อสูง นักลงทุนทั่วโลกมักจะหันมาถือสินทรัพย์ที่ปลอดภัย เช่น ทองคำ เพราะมูลค่าเงินสดจะลดลงตามเวลาที่ค่าครองชีพสูงขึ้น
ในทางกลับกัน หากธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ลดดอกเบี้ย จะยิ่งเป็นแรงหนุนให้ราคาทองคำปรับขึ้น เพราะนักลงทุนจะย้ายเงินจากตราสารหนี้หรือเงินฝากมาซื้อทองมากขึ้น
ตัวอย่างในปี 2023–2024 ราคาทองคำโลกพุ่งแตะจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เนื่องจากตลาดคาดว่า FED จะชะลอการขึ้นดอกเบี้ย และเงินเฟ้อยังคงทรงตัวในระดับสูง
2. ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า
ทองคำมักมีความสัมพันธ์ ผกผันกับค่าเงินดอลลาร์ (USD)
เมื่อค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง นักลงทุนทั่วโลกจะหันมาถือครองทองคำแทนเงินดอลลาร์ เพื่อป้องกันการสูญเสียมูลค่าเงิน ส่งผลให้ความต้องการทองคำเพิ่มขึ้น
ในช่วงไตรมาส 3–4 ปี 2025 ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐปรับอ่อนลงต่อเนื่องจากการคาดการณ์ลดดอกเบี้ยของ Federal Reserve (Fed) ทำให้ราคาทองคำโลกพุ่งแตะระดับ กว่า4,100 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ดังนั้น ผู้ที่ติดตามราคาทองคำในไทยควรดูทั้งราคาทองคำโลกและค่าเงินบาทควบคู่กัน โดยสามารถติดตามได้จากเว็บไซต์ของ สมาคมค้าทองคำ (Gold Traders Association) และ https://www.bangkokgolds.com/blog/
3. ภาวะเศรษฐกิจโลกและความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์
ทองคำถือเป็น “สินทรัพย์ปลอดภัย” (Safe Haven Asset) ที่นักลงทุนทั่วโลกนิยมถือในช่วงวิกฤต เช่น สงคราม ความขัดแย้งระหว่างประเทศ หรือภาวะเศรษฐกิจถดถอย
สถานการณ์ล่าสุด เช่น ความไม่แน่นอนในตะวันออกกลาง ความตึงเครียดทางการค้า และการเลือกตั้งในประเทศมหาอำนาจ ล้วนเป็นปัจจัยที่หนุนให้ราคาทองคำมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น
ราคาทองคำแตะ 70,000 บาทได้จริงหรือ?
คำถามนี้ไม่มีคำตอบตายตัว แต่จากการวิเคราะห์เชิงเศรษฐศาสตร์และข้อมูลจากหลายสำนัก เช่น World Gold Council (WGC) และ Bloomberg, นักวิเคราะห์หลายรายมองว่า ราคาทองคำมีโอกาสแตะระดับ 70,000 บาทต่อบาททองคำ หากเงื่อนไขต่อไปนี้เกิดขึ้นพร้อมกัน
1. เงินเฟ้อสูงต่อเนื่องทั่วโลก
หากเงินเฟ้อทั่วโลกยังคงสูงเกินเป้าหมายที่ 2% ของ FED และธนาคารกลางหลักๆ ต้องผ่อนคลายนโยบายการเงินต่อไป จะทำให้ราคาทองคำมีแรงหนุนต่อเนื่อง
2. ค่าเงินบาทอ่อนลงสู่ระดับ 38–40 บาทต่อดอลลาร์
เงินบาทที่อ่อนค่าจะทำให้ราคาทองคำในประเทศสูงขึ้น แม้ราคาทองคำโลกจะไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก
3. ความต้องการทองคำจากภาคเอกชนและธนาคารกลาง
ในปีที่ผ่านมา ธนาคารกลางหลายประเทศ โดยเฉพาะจีนและอินเดีย ได้เพิ่มการถือครองทองคำในทุนสำรองระหว่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นสัญญาณบวกต่อราคาทองคำระยะยาว
เคล็ดลับวางแผนก่อนลงทุนทองคำในช่วงราคาผันผวน
แม้ราคาทองคำจะมีแนวโน้มสูงขึ้น แต่การลงทุนทองคำก็ยังมีความเสี่ยง ผู้สนใจควรเตรียมตัวและศึกษาให้ดีก่อนตัดสินใจ
1. เข้าใจความแตกต่างระหว่างทองคำแท่งและทองรูปพรรณ
- ทองคำแท่ง เหมาะกับการลงทุนเก็งกำไร เพราะค่ากำเหน็จต่ำ
- ทองรูปพรรณ เหมาะกับการเก็บระยะยาว ใช้สวมใส่ได้ และมีมูลค่าทางใจ
ผู้ที่สนใจสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมหรือดูตัวอย่างทองรูปพรรณได้ที่ Bangkok Golds Facebook Page ซึ่งมีทั้งแบบทันสมัยและมงคลเสริมดวง
2. ลงทุนแบบทยอยซื้อ (DCA)
หากกลัวความผันผวน การทยอยซื้อทองคำทุกเดือนในจำนวนที่เท่ากัน จะช่วยเฉลี่ยต้นทุนได้ และลดความเสี่ยงจากการซื้อในช่วงราคาสูง
3. ติดตามข่าวสารจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้
เช่น สมาคมค้าทองคำ, Reuters, หรือ World Gold Council เพื่อวิเคราะห์แนวโน้มก่อนตัดสินใจซื้อขาย
สรุป: ราคาทองคำแตะ 70,000 บาท…เป็นไปได้ แต่ควร “มองรอบด้าน” ก่อนลงทุน
จากปัจจัยทั้งหมด ราคาทองคำมีแนวโน้มเติบโตได้ต่อเนื่องในระยะกลางถึงยาว โดยเฉพาะหากเงินเฟ้อทั่วโลกยังสูงและเศรษฐกิจยังไม่แน่นอน
อย่างไรก็ตาม การคาดการณ์ระดับ “70,000 บาท” ยังขึ้นอยู่กับหลายตัวแปร เช่น ค่าเงินบาท นโยบายการเงินของสหรัฐฯ และภาวะตลาดโลก
ดังนั้น ก่อนจะลงทุนหรือสะสมทองคำ ควรศึกษาให้รอบด้าน และเลือกแหล่งซื้อขายที่น่าเชื่อถือ เช่น ร้านทองบางกอกโกลด์ส (Bangkok Golds) ซึ่งมีทั้งทองคำแท่งและทองรูปพรรณคุณภาพสูง พร้อมให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลทองคำและแนวโน้มราคาตลาด

